ลูกค้าบ้านและธุรกิจในไทยไว้วางใจให้ดูแลกว่า 100,000++ ราย
© 2025 Rentokil Initial plc โดยอยู่ภายใต้บังคับเงื่อนไขและข้อจำกัดของ กฎหมายกำหนด.
ไข้เลือดออก คืออะไร?
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบบ่อยในประเทศเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมี 4 สายพันธุ์ (DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4) การติดเชื้อครั้งแรกมักมีอาการไม่รุนแรง แต่การติดเชื้อครั้งที่สองหรือครั้งต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะต่างสายพันธุ์ มีโอกาสเกิดอาการรุนแรงมากขึ้น ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อประมาณ 50 ล้านคนต่อปี โดย 500,000 คนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และอัตราผู้เสียชีวิตต่อปีอยู่ที่ 2.5% (ที่มา WHO - องค์การอนามัยโลก)
ฤดูฝนในประเทศไทย ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน เป็นช่วงที่มีความเสี่ยงไข้เลือดออกสูง โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยไข้เลือดออกทั่วประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร นครราชสีมา อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช ชลบุรี ศรีษะเกษ สงขลา บุรีรัมย์ และนครปฐม
กองโรคติดต่อนําโดยแมลง กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทยของปี พ.ศ. 2567 (ข้อมูลประจำเดือนพฤษภาคม 2567) ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกรวม 28,331 ราย ยอดผู้เสียชีวิต 31 ราย (ดูอัปเดตรายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออกได้ ที่นี่)
ไข้ขึ้นสูงเฉียบพลันและต่อเนื่อง
ผื่นแดงขึ้นบนผิวหนัง
ปวดรุนแรงในกระดูก กล้ามเนื้อ ข้อ ลูกตา และศีรษะ
เบื่ออาหาร อาเจียน และคลื่นไส้
เลือดกำเดาไหล เลือดออกที่เหงือก และตามผิวหนัง
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคไข้เลือดออกโดยเฉพาะ แต่มีวัคซีนไข้เลือดออกให้บริการทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็ม โดยมีค่าใช้จ่ายโดยรวมประมาณ 6,000-9,000 บาท สามารถป้องกันได้ 5-6 ปี ครอบคลุมเชื้อไวรัสไข้เลือดออกทั้ง 4 สายพันธุ์ ฉีดได้ในกลุ่มคนอายุ 9-45 ปี
วิธีนี้เป็นการป้องกันสำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นโรคไข้เลือดออก หากติดเชื้อแล้ว หรือสงสัยว่าเป็นโรคไข้เลือดออกควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
อาการไข้เลือดออกในเด็กจะมีไข้สูงลอย ซึ่งเป็นไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส นาน 2-7 วัน มักไม่ค่อยมีอาการไอหรือน้ำมูก ซึ่งต่างจากไข้หวัดทั่วไป มีอาการซึมลง งอแง เบื่ออาหาร เด็กอาจดูเพลีย ไม่ร่าเริง ไม่อยากเล่น และกินได้น้อยลง อาจอาเจียนบ่อย โดยเฉพาะหลังกินอาหารหรือดื่มน้ำ ทั้งนี้เด็กบางคนอาจบ่นปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา เนื่องจากตับโต
มีผื่นแดงขึ้นตามตัว ลักษณะเป็นจุดหรือรอยแดงเล็ก ๆ คล้ายผื่นหัด อาจพบได้ทั่วตัว แขน ขา เลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ อาเจียนเป็นเลือด ซึ่งเป็นอาการของไข้เลือดออกระยะรุนแรง และอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว หน้าแดง ตาแดง รวมอยู่ด้วย
"ความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกในตัวเด็ก" ก็คือ ระดับความรุนแรงของอาการไข้เลือดออกที่เกิดขึ้นในเด็ก ซึ่งมีตั้งแต่อาการเล็กน้อย ไปจนถึงอาการรุนแรงมาก เนื่องจากเด็ก ๆ มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงจากไข้เลือดออกมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ และเด็กเล็กอาจไม่สามารถบอกอาการได้ชัดเจน ทำให้พ่อแม่สังเกตอาการได้ยาก
โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แบ่งความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เด็กมีอาการรุนแรง ก็คืออายุน้อย เด็กเล็ก โดยเฉพาะอายุน้อยกว่า 1 ปี มีโอกาสเกิดอาการรุนแรงมากกว่าเด็กโต และหากเคยติดเชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์หนึ่งมาก่อน แล้วมาติดเชื้ออีกสายพันธุ์หนึ่ง มีโอกาสเกิดอาการรุนแรงมากขึ้น มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคเลือด จนไปถึงภาวะขาดสารอาหาร
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในเด็ก อาจจะเกิดภาวะเลือดออก เช่น เลือดออกในกระเพาะอาหาร เลือดออกในลำไส้ เลือดออกในสมอง ภาวะช็อค เกิดจากการสูญเสียพลาสมาออกนอกเส้นเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ไม่เพียงพอ รวมไปถึงภาวะตับวาย ภาวะสมองอักเสบ ภาวะไตวาย
สิ่งสำคัญที่สุดคือการป้องกันไม่ให้ลูกน้อยถูกยุงลายกัด โดยกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ทายากันยุง นอนกางมุ้ง และพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เมื่อลูกมีอายุครบตามเกณฑ์ที่กำหนด
สิ่งที่พ่อแม่ควรสังเกตเป็นพิเศษในเด็กเล็ก คือการร้องไห้ผิดปกติ เช่น ร้องงอแงมากขึ้น ร้องเสียงแหลม ซึม ไม่เล่น ไม่ดูดนม เด็กดูอ่อนเพลีย ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง มีอาการอาเจียนบ่อย โดยเฉพาะหลังกินนมหรือน้ำ ไข้สูงไม่ลด แม้จะกินยาลดไข้แล้ว หากลูกมีอาการเหล่านี้ ควรพาไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อย่าปล่อยให้โรคลุกลาม เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การดูแลรักษาไข้เลือดออกในเด็ก มีจุดมุ่งหมายเพื่อประคับประคองอาการ ลดความรุนแรงของโรค และป้องกันภาวะแทรกซ้อน ซึ่งการดูแลรักษา สามารถทำได้ทั้งที่บ้านและที่โรงพยาบาล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ
การดูแลเด็กที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกที่บ้าน ใช้ผ้าชุบน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นเช็ดตัว โดยเน้นบริเวณซอกคอ ซอกรักแร้ ขาหนีบ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้แห้ง และระวังอย่าให้เด็กหนาวสั่น อย่าลืมให้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ตามคำแนะนำของแพทย์ ห้ามให้ยาแอสไพริน และยา ibuprofen เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออก
รวมไปถึงให้ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ หากเด็กดื่มน้ำได้น้อย อาจป้อนน้ำบ่อย ๆ ครั้งละน้อย ๆ และรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด ผลไม้ พักผ่อนให้เพียงพอ ในห้องที่อากาศถ่ายเท สะอาด และไม่มียุง
สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เช่น ไข้ ผื่น อาเจียน ถ่ายอุจจาระ หากอาการแย่ลง ให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที
การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ที่คุณแม่ต้องดูแลสุขภาพตัวเองเป็นพิเศษ แต่ในช่วงฤดูฝน ภัยร้ายอย่าง "ไข้เลือดออก" ก็อาจแฝงตัวมากับยุงลาย คุกคามสุขภาพของทั้งแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้ และไข้เลือดออกในหญิงตั้งครรภ์ มีอันตรายมากกว่าคนทั่วไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อทั้งแม่และลูก เช่น ทำให้แม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด หรือลูกมีน้ำหนักตัวน้อย
"ผลกระทบต่อทารกในครรภ์" เป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์ที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ป่วยเป็นไข้เลือดออก เชื้อไวรัสเดงกีสามารถผ่านทางรกไปสู่ทารกได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อลูกน้อย ตั้งแต่การติดเชื้อไวรัสเดงกีในทารกแรกเกิด ทารกอาจติดเชื้อไวรัสเดงกีจากแม่ตั้งแต่ในครรภ์ หรือระหว่างคลอด ทำให้ทารกมีอาการไข้เลือดออกหลังคลอด ซึ่งอาจมีอาการรุนแรงได้ และไข้เลือดออกอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ ภาวะเลือดออก ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด รวมไปถึงการติดเชื้อไวรัสเดงกี อาจทำให้ทารกเจริญเติบโตในครรภ์ไม่ดี ส่งผลให้น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์
ร้ายแรงที่สุดคือในกรณีที่ไข้เลือดออกมีอาการรุนแรง อาจทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์ได้ และภาวะเลือดออกในทารก ทารกอาจมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ และมีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกในสมอง
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นคือความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์จะมากขึ้น หากคุณแม่ติดเชื้อไข้เลือดออกในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ (อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป) เนื่องจากเป็นช่วงที่ทารกมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และใกล้กำหนดคลอด
การดูแลรักษาไข้เลือดออกในหญิงตั้งครรภ์ ต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของทั้งแม่และลูกน้อยในครรภ์ โดยหลักการดูแลรักษาจะคล้ายกับคนทั่วไป แต่มีข้อควรระวังเพิ่มเติม
คำแนะนำในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก แน่นอนว่าควรไปพบแพทย์ทันทีที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก อย่าซื้อยามารับประทานเอง โดยเฉพาะยาแอสไพริน และยา ibuprofen เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับพักผ่อนในห้องที่อากาศถ่ายเทสะดวก ปราศจากยุง
อย่าลืมดื่มน้ำสะอาดมาก ๆป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ เช็ดตัวลดไข้ ใช้ผ้าชุบน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นเช็ดตัว โดยเน้นบริเวณซอกคอ ซอกรักแร้ ขาหนีบ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้แห้ง และระวังอย่าให้หนาวสั่น รับประทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด ผลไม้ และรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ แพทย์จะพิจารณาให้ยาตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของทารกในครรภ์
ติดตามอาการตัวเองอย่างใกล้ชิด สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไข้สูง เลือดออก ปวดท้อง และไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะเลือดออก ภาวะช็อก ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และลูก ที่สำคัญดูแลสุขภาพจิตใจ พยายามผ่อนคลาย ลดความเครียด และพูดคุยกับคนใกล้ชิด เพื่อช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้น
แม้ยุงลายจะกัดคนได้ทุกเพศทุกวัย แต่รู้หรือไม่ว่า "ไข้เลือดออก" ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทุกคนเท่ากัน บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางคนอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
แม้โรคไข้เลือดออกจะพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่ "ผู้สูงอายุ" ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนจากโรคนี้ ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะด้วยระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมถอย เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะทำงานได้ด้อยลง ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ไม่ดีเท่าคนหนุ่มสาว ส่งผลให้ติดเชื้อได้ง่าย และมีอาการรุนแรงกว่า
มักมีโรคประจำตัว ผู้สูงอายุมักมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ซึ่งโรคเหล่านี้จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากไข้เลือดออก ไปจนถึงการรับรู้และการสื่อสารลดลง ผู้สูงอายุบางรายอาจมีปัญหาในการรับรู้ หรือสื่อสาร ทำให้ไม่สามารถบอกเล่าอาการให้คนรอบข้างทราบได้ ซึ่งอาจทำให้ได้รับการรักษาช้า จนไปถึงการดูแลตัวเองที่ไม่ดี ผู้สูงอายุบางรายอาจดูแลตัวเองได้ไม่ดี เช่น ดื่มน้ำน้อย รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ พักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
โรคไข้เลือดออก แม้จะเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ก็อาจสร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคน โดยเฉพาะ "ผู้ที่มีโรคประจำตัว" เนื่องจากโรคประจำตัวบางชนิด อาจส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ และมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรง หรือภาวะแทรกซ้อนจากไข้เลือดออกได้
โรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยงต่อไข้เลือดออก คือ โรคเบาหวาน เพราะผู้ป่วยเบาหวานมักมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ยากขึ้น และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมถึงไข้เลือดออก รวมไปถึงกลุ่มที่มีโรคความดันโลหิตสูง ไข้เลือดออกอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกในสมอง
นอกจากนี้ กลุ่มที่เป็นโรคหัวใจ ไข้เลือดออกอาจทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นต้น
นอกจากกลุ่มที่กล่าวไปแล้ว ยังมีกลุ่มอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงจากไข้เลือดออกเช่นกัน มาดูกันว่ามีใครบ้าง
ผู้ติดเชื้อ HIV เชื้อ HIV ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ยาก รวมถึงเชื้อไวรัสเดงกี ผู้ติดเชื้อ HIV จึงมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงจากไข้เลือดออกสูงกว่าคนทั่วไป รวมไปถึงผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง ยาเหล่านี้จะกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายอ่อนแอ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ รวมถึงไข้เลือดออก และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด บางคนเกิดมามีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ไม่ดี
ผู้ป่วยมะเร็ง เคมีบำบัดเป็นการรักษามะเร็งที่ใช้ยา ซึ่งยาเหล่านี้มีผลข้างเคียง คือ กดการทำงานของไขกระดูก ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดได้น้อยลง รวมถึงเกล็ดเลือด ผู้ที่ได้รับเคมีบำบัดจึงมีโอกาสเกิดภาวะเลือดออกรุนแรงจากไข้เลือดออกได้
ภาวะอ้วน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ รวมถึงไข้เลือดออก ผู้ที่มีภาวะอ้วน มักมีการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน และอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงจากไข้เลือดออกได้
นักท่องเที่ยว หรือผู้ที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้เลือดออก มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อน
แค่มีไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อย ใช่ว่าจะเป็นไข้เลือดออกเสมอไป เพราะอาการเหล่านี้อาจเกิดจากโรคอื่น ๆ ได้เช่นกัน ดังนั้นการวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกอย่างแม่นยำ จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายได้
การตรวจวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกอย่างแม่นยำ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แพทย์จะใช้หลายวิธีประกอบกันในการวินิจฉัย ดังนี้
แพทย์จะสอบถามข้อมูลต่าง ๆ เช่น อาการเป็นยังไง ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เลือดออก ประวัติการเจ็บป่วย เช่น เคยป่วยเป็นไข้เลือดออกมาก่อนหรือไม่ มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง ประวัติการสัมผัสโรค เช่น มีคนในบ้าน หรือคนใกล้ชิดป่วยเป็นไข้เลือดออกหรือไม่ และประวัติการเดินทาง เช่น เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้เลือดออกหรือไม่
แพทย์จะตรวจร่างกาย เพื่อหาสัญญาณต่าง ๆ เช่น วัดไข้ ดูลักษณะผื่น กดท้อง เพื่อดูว่ามีตับโต ม้ามโต หรือมีน้ำในช่องท้องหรือไม่ ตรวจดูการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิต และทดสอบ tourniquet test เพื่อดูความเปราะบางของเส้นเลือด
ตรวจเลือด เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุด เพื่อยืนยันการวินิจฉัย และประเมินความรุนแรงของโรค โดยจะตรวจหา
ทั้งนี้เพื่อดูค่า hematocrit (Hct) เพื่อดูความเข้มข้นของเลือด ซึ่งจะสูงขึ้นในผู้ป่วยไข้เลือดออก เนื่องจากมีภาวะขาดน้ำ
เพื่อดูว่ามีโปรตีนรั่วในปัสสาวะหรือไม่ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อนทางไต
การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกอย่างถูกต้องและรวดเร็ว มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไข้เลือดออกเป็นโรคที่มีความรุนแรง และอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การวินิจฉัยที่แม่นยำ จะนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสม และช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ ซึ่งความสำคัญของการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็ว
ไข้เลือดออกไม่มี "ยารักษาเฉพาะ" การรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการ และประคับประคอง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน การวินิจฉัยที่ถูกต้อง จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความรุนแรงของโรค และวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม เช่น การให้สารน้ำ การให้เลือด การเฝ้าระวังอาการ
ภาวะแทรกซ้อนของไข้เลือดออก เช่น เลือดออก ช็อก เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว การวินิจฉัยที่รวดเร็ว จะช่วยให้แพทย์สามารถเฝ้าระวัง และรักษาภาวะแทรกซ้อนได้ทันท่วงที
การวินิจฉัยที่ล่าช้า อาจทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม และเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ การวินิจฉัยที่รวดเร็ว จึงช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากไข้เลือดออกได้
การวินิจฉัยที่ถูกต้อง จะช่วยให้สามารถแยกผู้ป่วย และควบคุมโรคได้ ซึ่งจะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของไข้เลือดออกสู่คนอื่นๆ ในชุมชน
การวินิจฉัยที่รวดเร็ว จะช่วยลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย และญาติ ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแล และมีความมั่นใจในการรักษา
โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายใกล้ตัวที่มากับยุงลาย แม้จะไม่มีวัคซีนป้องกันได้ 100% แต่เราก็สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และป้องกันโรคนี้ได้ ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่เริ่มต้นได้จากตัวเรา
ยุงลาย พาหะนำโรคร้าย ไม่ว่าจะเป็น ไข้เลือดออก ไข้ซิกา หรือโรคไข้ปวดข้อยุงลาย ล้วนเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของเรา โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ยุงลายชุกชุม "นโยบาย 3 เก็บ" จึงเป็นมาตรการสำคัญ ที่ช่วยป้องกันโรคเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เก็บบ้าน
จัดบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีมุมอับทึบ ซึ่งเป็นที่เกาะพักของยุง พับเก็บเสื้อผ้าใส่ตู้ อย่าแขวนเสื้อผ้าไว้เกะกะ ทำความสะอาดบ้าน เช็ดถูพื้น กำจัดฝุ่น
กำจัดขยะ เศษอาหาร ใบไม้ ภาชนะที่ไม่ใช้แล้ว รอบ ๆ บ้าน ทิ้งขยะลงถัง และปิดฝาให้มิดชิด และไม่ทิ้งขยะลงในท่อระบายน้ำ
ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำ เช่น โอ่ง ถัง ให้สนิท เปลี่ยนน้ำในแจกัน จานรองกระถางต้นไม้ ทุกสัปดาห์ และตรวจสอบ และกำจัดแหล่งน้ำขัง เช่น ยางรถยนต์เก่า กะลา กระป๋อง
แม้การกำจัดยุงลายจะเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันไข้เลือดออก แต่ปัจจุบันเรามี "วัคซีนไข้เลือดออก" เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค และลดความรุนแรงของโรคได้
วัคซีนไข้เลือดออก ป้องกันอย่างไร? กระตุ้นภูมิคุ้มกัน วัคซีนไข้เลือดออกมีส่วนประกอบของเชื้อไวรัสเดงกีทั้ง 4 สายพันธุ์ ที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลง เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกาย จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส และยังลดความเสี่ยงในการป่วย ภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรค หรือลดความรุนแรงของโรคได้ ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออก ช็อก ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต และลดอัตราการนอนโรงพยาบาล
ใครบ้าง ควรฉีดวัคซีน? แน่นอนว่าหากคุณมีอายุระหว่าง 9-45 ปี เคยติดเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อน (ตรวจเลือดเพื่อยืนยัน) มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีน เช่น แพ้ส่วนประกอบของวัคซีน
ก่อนตัดสินใจฉีดวัคซีน ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินความเสี่ยง และประโยชน์ สุดท้ายแล้ววัคซีนไข้เลือดออก เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรค แต่ไม่ใช่ทางออกเดียว การดูแลสุขภาพ กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และป้องกันยุงกัด ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการกำจัดยุงแบบบูรณาการของเร็นโทคิล