02 290 8500 สำรวจพื้นที่ฟรีที่เบอร์ หรือ ติดต่อเรา

มีงูหลายร้อยสายพันธุ์ทั่วโลก แต่มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่มีพิษ อย่างไรก็ตามถ้าคนเจองูมักจะเกิดอาการช็อกและหวาดกลัว เพราะไม่สามารถระบุได้ว่างูนั้นมีพิษหรือไม่ นี่คือเคล็ดลับบางส่วนที่สำคัญ และสามารถนำไปแบ่งปันกับครอบครัวของคุณได้ เพื่อปกป้องพวกเขาจากการถูกงูกัด

  • ตระหนักถึงอันตรายที่เกิดจากงูและหลีกเลี่ยงพวกมัน
  • ป้องกันบ้านและสวนของคุณจากงูให้เต็มที่
  • รู้จักอาการของงูกัด และวิธีการรักษาที่เหมาะสม

 

ชนิดของพิษงู

อันตรายจากงูกัดและพิษนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ และการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับงูกัดก็จะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ด้วย

สำหรับการรักษาอาการงูกัดจะถูกกำหนดตามพิษคือ พิษต่อเซลล์ พิษต่อเลือด หรือพิษต่อระบบประสาท การรักษาที่ไม่ถูกต้องไม่เพียงแค่ช่วยเหลือได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย

พิษที่ทำลายเซลล์ (CYTOTOXIC) -

  • กระบวนการที่พิษทำลายเซลล์และยับยั้งการทำงานของเซลล์ หรือทำให้เกิดการตายของเซลล์
  • สายพันธุ์ : งูเเอดเดอร์ (Adders) และงูไวเปอร์ (Vipers)
  • โดยทั่วไปจะเกิดรอยเขี้ยว 2 รอยเมื่อถูกงูกัด
  • การกัดทำให้เกิดอาการปวด บวมช้ำ และพองทันที
  • มีอาการคลื่นไส้และเวียนศีรษะ
  • สิ่งที่ควรทำ : หยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวร่างกายแขนขา แต่ไม่ต้องห้ามการไหลเวียนของเลือด

พิษที่ทำลายเลือด (HAEMOTOXIC) -

  • พิษประเภทนี้จะฆ่าเซลล์เม็ดเลือดแดง และป้องกันการแข็งตัวของเลือด ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย
  • สายพันธุ์ : งูบูมสแลง (Boomslangs) และ งูไวน์ (Vine)
  • บาดแผลจากการกัดสามารถมองเห็นได้ตรงที่โดนกัด
  • หากถูกกัดโดยทั่วไปไม่เจ็บปวดมาก แต่ภายในหนึ่งชั่วโมงจะมีเลือดออกจากแผลที่โดนกัด หรือจากแผลอื่น ๆ และรอยขีดข่วน
  • มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง คลื่นไส้ และอาเจียน
  • สิ่งที่ควรทำ : จะมีประโยชน์มากหากคุณรีบห้ามเลือดและน้ำเหลือง และเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรทำให้เกิดรอยช้ำซึ่งสามารถนำไปสู่​​การมีเลือดออกใต้ผิวหนังได้

พิษที่ทำลายประสาท (NEUROTOXIC) -

  • จะทำลายหรือเป็นอันตรายต่อเส้นประสาทหรือเนื้อเยื่อประสาท
  • สายพันธุ์ : งูแมมบาส (Mambas) และงูเห่า (Cobras)
  • มีรอยกัดบริเวณที่โดนกัด
  • หากโดนกัดจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ไม่ช้ำและบวม
  • จะมีอาการสับสนวิงเวียน การพูดอ้อแอ้ กลืนลำบาก และหายใจลำบาก
  • สิ่งที่ควรทำ : อยู่นิ่ง ๆ ห้ามการไหลเวียนของเลือดระหว่างตรงที่โดนกัดและหัวใจ
  • สิ่งที่ควรทำ : จัดการ CPR จนกว่าความช่วยเหลือทางการแพทย์จะมาถึง

หากพิษเข้าไปในดวงตา ให้ใช้ของเหลวที่สามารถล้างตาได้ โดยเฉพาะของเหลวจากธรรมชาติ เช่น น้ำหรือนม เพื่อล้างพิษออกจากตา

สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในการรักษางูกัด

อาการหลังจากงูกัดมักจะเห็นได้เร็ว ดังนั้นการสังเกตเหยื่อที่โดนงูกัดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

ถ้าอาการไม่ได้เกิดขึ้นภายในครึ่งชั่วโมง อาจจะเป็นข้อบ่งชี้ว่าเหยื่อไม่ได้ถูกงูพิษกัด งูตัวนั้นพ่นพิษไม่ได้ หรืองูตัวนั้นมีอายุมากแล้ว ซึ่งอาจมีพิษเหลือน้อยเต็มที

สิ่งที่ควรทำ

  • การที่จะระบุได้ว่างูที่กัดนั้นมีพิษ สามารถสังเกตได้จากลักษณะของงู (เช่น รูปทรงของหัวงู สี และขนาด) และวิธีการโจมตีของมัน
  • คลายเสื้อผ้าของผู้บาดเจ็บและย้ายไปในที่ร่ม
  • ทำให้ผู้บาดเจ็บเกิดความนิ่งสงบ เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและทำให้พิษเข้าไปสู่หัวใจได้เร็วขึ้น
  • พยายามไม่ให้เคลื่อนไหวร่างกาย แต่ไม่ได้หมายความว่าให้หยุดการไหลเวียนของเลือด นอกจากผู้บาดเจ็บจะถูกงูพิษที่ทำลายระบบประสาทกัด
  • ทำความสะอาดและตกแต่งแผลอย่างระมัดระวัง ไม่ควรกดหรือดันบริเวณแผล และพยายามไม่ให้เกิดรอยช้ำ
  • เตรียมปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ในกรณีที่จำเป็น
  • พาผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

สิ่งที่ไม่ควรทำ

อาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างว่าอะไรคือสิ่งที่เราควรทำเมื่อถูกงูกัด แต่ความคิดเห็นเรื่องสิ่งที่เราไม่ควรทำเมื่อถูกงูกัด ยังถือว่าเป็นความเห็นที่สอดคล้องกันอยู่

  • อนุญาตให้เหยื่อออกกำลังกาย หรือทำให้ตัวเองเครียด
  • ตัดแผลที่โดนกัด หรือพยายามที่จะดูดพิษออกมา
  • ให้เหยื่อกินหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ใช้ผลึกด่างทับทิม หรือใช้อะไรที่อยู่ใกล้ทาบนแผลที่โดนกัด
  • ใช้น้ำสบู่ล้างแผล
  • พันผ้าพันแผลแน่นและนานเกินไป
  • ปล่อยให้เหยื่ออยู่คนเดียว
  • ใช้น้ำแข็งกับแผล

เนื้อหาในหน้านี้เป็นเพียงข้อมูลเท่านั้น เร็นโทคิล ประเทศไทย ไม่รับรักษาอาการบาดเจ็บอันเกิดจากสัตว์เลื้อยคลาน

สาขาบริการที่ใกล้บ้านคุณ

สอบถามเพิ่มเติม

พบปัญหางูใช่หรือไม่?

ตรวจสอบสัญญาณที่พบบ่อย เช่น การลอกคราบ และรู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้งูเข้าในพื้นที่ของคุณ